วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ภัยพิบัติทางธรรมชาติ : สิ่งใกล้ตัวที่ควรรู้จัก

ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (Natural  Disasters) รูปแบบต่าง ๆ ทางธรรมชาติที่ได้มีการศึกษารวบรวม และบันทึกรายละเอียดไว้  อาจสรุปได้เป็น  10  ประเภท  คือ
                1.  การระเบิดของภูเขาไฟ (Volcano  Eruptions)
                2.  แผ่นดินไหว  (Earthquakes)
                3.  คลื่นใต้น้ำ  (Tsunamis)
                4.  พายุในรูปแบบต่าง ๆ (Various  Kinds  of  storms)  คือ
                                ก.  พายุแถบเส้น  Tropics  ที่มีแหล่งกำเนิดในมหาสมุทร (Tropical  Cyclones)
                                ข.  พายุหมุนที่มีแหล่งกำเนิดบนบก (Tornadoes)
                                ค.  พายุฝนฟ้าคะนอง (Thunderstorms)
                5.  อุทกภัย (Floods)
                6.  ภัยแล้ง  หรือทุพภิกขภัย (Droughts)
                7.  อัคคีภัย (Fires)
                8.  ดินถล่ม และโคลนถล่ม (Landslides  and  Mudslides)
                9.  พายุหิมะและหิมะถล่ม (Blizzard  and  Avalanches)  และ
                10. โรคระบาดในคนและสัตว์ (Human  Epidemics  and  Animal  Diseases)

ลักษณะของภัยแต่ละชนิด
                1)  ภัยจากน้ำท่วม  เป็นภัยที่เกิดขึ้นได้ทุกแห่ง  มีลักษณะและความรุนแรงแตกต่างกันออกไป  ดังนี้คือ
 1.1  การเกิดน้ำท่วมขังในที่ราบลุ่ม  เนื่องมาจากความไม่สมดุลระหว่าง  ก.ปริมาณน้ำฝน  ข.ปริมาณน้ำฝนที่ซึมลงสู่ใต้ดิน  และ  ค.ปริมาณน้ำผิวดินที่ไหลหรือระบายออกจากพื้นที่นั้น ถ้าปริมาณน้ำส่วน ก.  มากกว่าส่วน ข.  และส่วน ค. รวมกัน  ก็จะเกิดการท่วมขัง ความรุนแรงของการท่วมขังไม่มากนัก  ค่อยเป็นค่อยไป  แต่อาจกินเวลานานกว่าจะระบายน้ำออกได้หมด
1.2  การเกิดน้ำป่าบริเวณป่าเขาที่มีความลาดชันสูง  ถ้าปริมาณฝนในพื้นที่รับน้ำมีมาก  จนทำให้ปริมาณน้ำผิวดินที่ระบายออกจากพื้นที่มีมาก  ด้วยอัตราที่รุนแรงเรียกว่า  น้ำป่า  ยิ่งถ้าป่าบริเวณนั้นถูกทำลายและปราศจากพืช  ต้นไม้ปกคลุมดิน  ก็จะพัดเอาเศษต้นไม้  กิ่งไม้  ตะกอน  ดิน  ทราย  และหินลงมาด้วย  ก่อให้เกิดความเสียหายแก่พื้นที่บริเวณท้ายน้ำเป็นอย่างมาก  อุทกภัยจากน้ำป่ามีความรุนแรงกว่าประเภทแรก  และจำเป็นต้องใช้เวลานานในการแก้ไขจนกว่าพื้นที่นั้นจะกลับฟื้นคืนสภาพดังเดิมได้
1.3  น้ำล้นตลิ่งของลำน้ำ  เนื่องจากปริมาณและอัตราน้ำหลากที่เกิดขึ้นในบริเวณต้นน้ำ  มีมากเกินกว่าความสามารถของแม่น้ำในบริเวณดังกล่าวที่จะรับได้ ถ้าเป็นแม่น้ำขนาดเล็กและปริมาณของน้ำหลากไม่มากนำ  หรือเป็นแม่น้ำขนาดใหญ่ที่มีระบบควบคุมอัตราการไหลที่ดี  เช่นมีเขื่อน  อ่างเก็บน้ำ  ฝายทดน้ำ  หรือประตูระบายน้ำฯ  ความรุนแรงและความเสียหายอันเกิดขึ้นจากอุทกภัยอาจไม่มากนำ  แต่ถ้าเป็นแม่น้ำขนาดใหญ่ที่ปราศจากระบบควบคุมจะก่อให้เกิดความเสียหายมาก  และเป็นวงกว้าง
1.4  น้ำท่วมอันเกิดจากการวิบัติของระบบควบคุม  เช่น  เขื่อนพัง  อ่างเก็บน้ำแตก  ประตูระบายน้ำไม่อาจทำหน้าที่ได้  จะก่อให้เกิดน้ำหลาก  มีความรุนแรงมากกว่าน้ำป่า  และความเสียหายที่เกิดขึ้นก็มากกว่าเช่นกัน
1.5  การเกิด  และการเคลื่อนตัวของกำแพงน้ำ   (ดังเชนBore  หรือ  Surge)  มีความรวดเร็ว  และรุนแรงที่สุด  ปรากฏการณ์นี้  เป็นการเพิ่มระดับน้ำด้านเหนือน้ำอย่างมาก  และเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว  มักจะเป็นช่วงต่อระหว่างแม่น้ำกับทะเลซึ่งเป็นคอขวด  ภายใต้สภาพที่เหมาะสมของลำน้ำ  และทะเล  น้ำท่วมจากสาเหตุนี้จะมีความรุนแรง  และเป็นไปอย่างรวดเร็ว  จนไม่อาจอพยพคน  สัตว์เลี้ยง  สิ่งของได้ทัน  สภาพของความเสียหายจะเป็นไปอย่างกว้างขวาง  และมากมาย

                2.2  ภัยจากพายุหมุนที่มีแหล่งกำเนิดมาจากมหาสมุทรในบริเวณเส้น Tropics  อากาศบริเวณเหนือน้ำในมหาสมุทรใกล้เส้นศูนย์สูตร  เมื่อได้รับความร้อนจากการแฟ่รังสีของดวงอาทิตย์เป็นเวลานาน  จะมีความอุณหภูมิสูงขึ้นและลอยตัวขึ้นสู่ท้องฟ้า  มวลอากาศเย็นจากบริเวณเส้นรุ้งที่อยู่ห่างไกลออกไปจะเคลื่อนที่มาปะทะกัน  แนวปะทะระหว่างมวลอากาศทั้งสองชนิดก่อให้เกิด  Warm  Front  (มวลอากาศร้อนดันมวลอากาศเย็นให้เคลื่อนที่)  และ  Cold  Front (มวลอากาศเย็นดันมวลอากาศร้อนให้เคลื่อนที่)  หมุนรอบแกนกลางซึ่งเรียกว่า  Low-Pressure  Center  แล้วเคลื่อนที่เข้าสู่แผ่นดิน  พายุหมุนประเภทนี้มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางหลายร้องกิโลเมตร  และความเร็วลมใกล้ศูนย์กลางของพายุประมาณ  100-150  กิโลเมตร/ชั่วโมง  ยังผลให้เกิดพายุลมและฝน  ตามมาด้วยอุทกภัยในบริเวณกว้างขวาง
                ในแต่ละปีมีพายุหมุนประเภทนี้  ทั้งในมหาสมุทรแปซิฟิค  (เรียกว่า Tyhoon,T)  ในมหาสมุทรแอตแลนติค  เรียกว่า  Hurricane,H)   และในความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินมากมายจนนับได้ว่าเป็นภัยจากธรรมชาติที่ร้ายแรงที่สุด

                2.3  ภัยจากพายุหมุนที่เกิดบนบก  ส่วนมากเกิดในมลรัฐต่าง ๆ ทางภาคใต้  และตะวันออกเฉียงใต้ใกล้กับอ่าวเม็กซิโก  ได้แก่  Texas, Oklahoma, Kansas,  Nebraska, Mississippim, Missouri, Alabama, Tennessee, Kentucky,  lowa  lllinois, Indiana  และ Obio ฯ  เป็นต้น  (ซึ่งรวมกันเรียกว่า  Central  and  Gulf  Coash  states  ของประเทศสหรัฐอเมริกา)
                พายุนี้เรียกเฉพาะว่า  Tornadoes  นับเป็นพายุหมุนที่มีแรงลมสูงสุดถึง  400-500  ไมล์/ชม.  แต่มีอายุของการเกิดสั้น  และครอบคลุมพื้นที่ไม่มากน้ำ  เมื่อเทียบกับพายุหมุน  Typhoons, Hurricanes  และ  Cyclones  ดังนั้นความเสียหายจึงมีน้อยกว่า
                สาเหตุของการเกิดพายุหมุนประเภทนี้ได้แก่  การปะทะกันของมวลอากาศร้อน  (Warm  Air  Mass) จากบริเวณอ่าวเม็กซิโก  ทางภาคใต้  กับมวลอากาศเย็น (Cool  Air  Mass)  จากทางภาคเหนือ  และภาคตะวันตก  พายุหมุน  Tornado  ก่อให้เกิดเมฆฝนขนาดใหญ่+ฟ้าแลบ+ฟ้าร้อง+ฟ้าผ่า  และฝนที่มีความรุนแรงของลมสูงมาก  มีรูปร่างคล้ายงวงช้าง  (บ้านเราเรียกว่าลมงวงช้าง)ในแต่ละปีจะเกิดพายุหมุนดังกล่าวหลายร้อยลูกแถบ  Midwest  States  ของประเทศสหรัฐอเมริกา

                2.4  ภัยจากพายุฝนฟ้าคะนอง  พายุประเภทนี้พบบ่อยมากในพื้นที่ๆภูมิอากาศร้อน  และอบอุ่น  อาจกล่าวได้ว่าในแต่ละวันจะมีพายุฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นทั่วโลกมากถึงประมาณ  45,000  ลูก  ปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดพายุแบบนี้  คือการลอยตัวขึ้นสู่บรรยากาศระดับสูงของกระแสอากาศที่มีความชื้นมาก  และอุณหภูมิสูงอย่างรุนแรง,  เมื่ออากาศร้อนชื้นดังกล่าวลอยตัวสูงขึ้นอุณหภูมิจะลดลง  และจะคายความร้อนแอ่งออกมาขณะที่เกิดการลั่นตัวของเมฆฝนเป็นหยดน้ำ  การคายความร้อนของมวลเมฆฝนดังกล่าวทำให้กระสกลมพัดขึ้นในแนวดิ่ง  และเกิดพายุ  ขณะเดียวกันอากาศบริเวณโดยรอบก็จะพัดเข้าสู่บริเวณศูนย์กลางของพายุ  การลั่นตัวของความชื้นในกระแสอากาศก่อให้เกิดเมฆฝนขนาดใหญ่ (Cumulo  Nimbus)ลอยขึ้นสู่ระดับสูงประมาณ 15,000 ฟุต (หรือประมาณ 4,600  เมตร)  จากฐานถึงยอดของเมฆนั้น  เมฆฝนนี้ก่อให้เกิดฝนและลูกเห็บ  บางทีอาจมีฟ้าแลบ  ฟ้าผ่าร่วมด้วย  พายุฝนฟ้าคะนองครอบคลุมพื้นที่ไม่กว้างขวางนำ  และจะสลายตัวภายในระยะเวลาอันสั้นไม่เกิน  1  ถึง  2 ชั่วโมง

                2.5  ภัยจากการระเบิดของภูเขาไฟ  นับเป็นมหันตภัยธรรมชาติที่รุนแรง  น่าสพรึงกลัว  และก่อให้เกิดความเสียหายมากอย่างหนึ่ง  แต่บังเอิญโชคดีที่ไม่เกดขึ้นกระจายทั่วไป  เหมือนภัยธรรมชาติอีก  4 ประเภท  ดังได้กล่าวมาแล้ว
                ภูเขาไฟมักจะเกิดขึ้นในสภาพของธรรมชาติดังต่อไปนี้คือ
                                ก.  ตามรอยแยกขนาดใหญ่บนผิวโลก
                                ข.  แนวสัน  หรือความต่างระดับของพื้นให้มหาสมุทร  และ
                                ค.  การเคลื่อนตัวสัมพันธ์กันของ  Tectonic  Plates  บนเปลือกโลก
                วงรอบมหาสมุทรแปซิฟิค  ซึ่งเชื่อมต่อกับทวีปเอเชีย,  ทวีปอเมริกาเหนือ  และทวีปอเมริกาใต้  ซึ่งเป้นของของ  Pacific  Plate  นั้นมีชื่อเรียกโดยเฉพาะว่า  Ring of  Fire  มีภูเขาไฟขนาดใหญ่  ที่มีอายุมากกว่า  2,000  ปี  และยังไม่ดับสนิทอยู่อีกมากกว่า  300 ลูกกระจัดกระจายไปทั่ว  นับตั้งแต่  Alaska,  อเมริกาเหนือ,  อเมริกาใต้  ลงไปถึง  Chile  ข้าม  New  Zealand,  Philippines  จนถึงญี่ปุ่น
                การระเบิดของภูเขาไฟจะพ่น  เถ้าถ่าน  หินละลายออกมาเป็นจำนวนมหาศาล  เมือง  Pompeii  ประเทศอิตาลี  ถูกฝังจากการระเบิดของภูเขาไฟ  Vesuvius  เมื่อปี   79  ก่อนคริศตกาล  ผู้คนเสียชีวิตหลายพันคน

                2.6  ภัยจากการเกิดแผ่นดินไหว  แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น  และสัมผัสได้บริเวณเปลือกโลกเป็นผลสืบเนื่องมาจากการปล่อยพลังงานออกมาเป็นจำนวนมาก  และทันทีทันใดในรูปของคลื่อนแห่งความสั่นสะเทือน  ซึ่งเกิดลึกลงไปใต้ดิน  หรือใต้พื้นมหาสมุทรจากการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก(Earth  Crust)  ตามแนวแยก (Fauts)  ซึ่งเป็นไปได้ในหลายลักษณะแผ่นดินไหวในแต่ละครั้งอาจมีความรุนแรงมากน้อยต่างกัน  และยังผลให้เกิดผลเสียหายต่อชีวิต  และทรัพย์สอน  ตามไปด้วยเป็นอย่างมาก  แผ่นดินไหวอาจก่อให้เกิด  ภูเขาไฟระเบิด  หรือคลื่นใต้น้ำ  (Tsunami)  ซึ่งช่วยแผ่กระจายความเสียหายไปตามมวลน้ำในมหาสมุทรได้อย่างมากมายมหาศาล

                2.7  ภัยจากคลื่นใต้น้ำ  คลื่นและกระแสน้ำ  เป็นการเคลื่อนไหวของน้ำในทะเล  2  ลักษณะซึ่งไม่เหมือนกัน  แต่มีความเกี่ยวเนื่องกันบาทีพลังงานจากคลื่น,  กระแสน้ำ  เสริมด้วยลม  และพายุที่มีความเร็วสูงจะก่อให้เกิดอุทกภัยที่มีความรุนแรง  และอำนาจทำลายล้างสูงมาก        
                ดังจะเห็นได้จากปรากฏการณ์เมื่อเดือนมกราคม  ปีค.ศ.1753  ในทะเลเหนือ  กล่าวคือ  ระดังน้ำสูง (High  Spring  Tide)  บวกกับคลื่นสูง (Storm  Waves)  และลม  (Winds)  ซึ่งมีความเร็วสูงถึง  185  กิโลเมตร/ชั่วโมง  (หรือ 115  ไมล์/ชม.) ทำให้ระดับน้ำในทะเลเหนือสูงกว่าปกติถึง  3  เมตร  (10 ฟุต)  ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า  “SURGE”  ในทะเล,  ผลลัพธ์ก็คือ  เกิดน้ำท่วมเป็นบริเวณกว้างขวางแถบชายทะเลภาคตะวันออกของอังกฤษ  ในส่วนของเนเธอร์แลนด์พื้นที่ประมาณ  4.3ของประเทศถูกน้ำท่วมขัง  ทำให้บ้านเรือนราว  30,000  หลังได้รับความเสียหาย และถูกทำลาย  มีผู้คนเสียชีวิตกว่า 1,800  คน
                คลื่นในทะเลและมหาสมุทรส่วนใหญ่เกิดจากแรงเสียดทานอันเนื่องมาจากความเร็วของลมพัดเหนือน้ำ  การเคลื่อนที่ของคลื่นเคลื่อนตัวใน  2 ลักษณะประกอบกัน  คือ 1 การหมุนตัว (Rotation)  และ 2.  การเคลื่อนตัวในแนวเส้นตรงไปข้างหน้า  (Trancslation)  คลื่นที่พัดเข้าสู่ชยฝั่งทะเลแล้วสลายตัวขึ้นไปตามชายหาด  หรือกระทบกับผาหิน  มักมีกำเนิดจากพายุในตอนกลางของมหาสมุทร  หรือลมที่เกิดขึ้นในบางส่วนของมหาสมุทรนั้น
                คลื่นใต้น้ำ (ในภาษาอังกฤษเรียกว่า Tidal  Waves, หรือ Tsunami)  ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระแสน้ำ  (Tides)  ในมหาสมุทรเลยแม้แต่น้อย  สาเหตุหลักเกิดมาจาก
                                ก.  แผ่นดินไหว  (Earthquakes)
                                ข.  การระเบิดของภูเขาไฟ  (Volcanic  Eruptions) หรือ
                                ค.  การถล่มทะลายของภูเขาไฟหรือมวลดินใต้น้ำ  (Submarine  Landslides)
แต่สาเหตุหลักของการเกิดคลื่นใต้น้ำส่วนใหญ่และขนาดใหญ่ที่มีความรุนแรงมากคือ “แผ่นดินไหว” ซึ่งเกิดขึ้นใต้ท้องมหาสมุทร
                ในท้องทะเลคลื่นจากความสั้นสะเทือน  (Shock  Waves)  ที่เกิดขึ้นจากบริเวณศูนย์กลางของแผ่นดินไหว  แล้วกระจายออกไปทุกทิศทางโดยรอบนั้นมักมีความสูงน้อยมาก  เพียง  60  ถึง  90  เซนติเมตร  (2 ถึง 3 ฟุต ) แต่ความยาวของคลื่นอาจะเป็นหลายร้อยกิโลเมตร  และความเร็วหลายร้อยกิโลเมตร/ชั่วโมงดังตัวอย่างของคลื่นใต้น้ำในร่องลึกใต้มหาสมุทรบริเวณที่เรียกว่า  Aleutian  Trench ทางเหนือสุดของมหาสมุทรแปซิฟิค  เมื่อปี  1946  ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมากมายต่อหมู่เกาะฮอนโนลูลู  ซึ่งอยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิค  Tsunami  ที่เกิดขึ้นเดินทางจากแหล่งกำเนิด  จนถึงหมู่เกาะฮอนโนลูลูใช้เวลาประมาณ  4  ชั่วโมง  34  นาที  ต่อระยะทาง 3,220  กิโลเมตร  (หรือ2,000ไมล์)  ด้วยความเร็วเฉลี่ยราว  00 กิโลเมตร/ชั่วโมง (หรือ 438ไมล์/ชั่วโมง) ซึ่งเป็นความเร็วที่สูงมาก  เทียบได้กับความเร็วของเครื่องบินไอพ่น
                คลื่นที่มากระทบชายฝั่งของหมู่เกาะฮอนโนลูลูมีความสูงกว่า  38  เมตร (หรือ 1125  ฟุต) จากการเปลี่ยนรูปของพลังงานจลน์จากคลื่นสูง  15  เมตร  (50  ฟุต)  มาเป็นพลังงานศักย์ดังกล่าว
                ส่วนมาก  Tsunami  มีความรุนแรงมากที่สุดมักจะเกิดในบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิค  แต่มีเพียงบางส่วนที่เกิดในมหาสมุทรแอตแลนติค
                ในครั้งนั้น  Tsunami  เกิดขึ้นจากแผ่นดินไหวในมหาสมุทรแอตแลนติคใกล้กับ  Lisbon  ปอร์ตเกสเมื่อปี  1755  คลื่น  ขนาดความสูง  4  ถึง  6  เมตร  (หรือ 10  ถึง  20 ฟุต)  ถาโถมเข้าสู่ในทันทีทันใด  และได้แผ่ไปถึงหมู่เกาะ west  Indies  อยู่ฟากตะวันตกของมหาสมุทรแอตแลนติคมีระยะห่างออกไปหลายพันไมล์ความเสียหายในชีวิตและทรัพย์สอนมีเป็นจำนวนมากมายมหาศาล
ถ้าย้อนมองอดีตจากปัจจุบันไปสัก  1 ศตวรรษ  (ราว  พ.ศ. 2551  จนถึง  พ.ศ.2451)  จะเห็นได้ว่าเป็นยุคแห่งสงครามโลกครั้งที่ 1 และสงครามโลกครั้งที่  2  เมื่อลองประมาณการจำนวนคนที่ต้องเสียชีวิตจากผลของสงครามโลกทั้งสองครั้งรวมแล้วไม่น้อยกว่า  10  ถึง  15  ล้าน  คนอย่างแน่นอน  แต่ถ้าเปรียบเทียบกับจำนวนผู้เสียชีวิตจากภัยพิบัติทางธรรมชาติทั้ง  10  ประเภท  ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน  ตามที่ได้มีการจดบันทึกไว้  น่าจะมีตัวเลข  มากกว่าตัวเลขดังกล่าว  2  หรือ  3  เท่าอย่างแน่นอน
                ภัยพิบัติทางธรรมชาติดังกล่าวล้วนเป็นภัยใกล้ตัว  อาจจะเกิดขึ้นที่ไหน  และเมื่อไรก็ได้  ทำให้มองดูแล้วน่ากลัวมาก  แต่ในความเป็นจริงแล้ว  จากการเรียนรู้ทางประสบการณ์  ของภัยพิบัติต่าง ๆ ด้วยตนเอง  และ/หรือจาก  ตำรา  บทความ ตลอดจนงานวิจัยที่มีผู้ทำไว้  ล้วนมีประโยชน์ในการดำรงชีวิตท่ามกลางภัยพิบัติทางธรรมชาติซึ่งอยู่รอบตัวเราได้  ด้วยความอยู่รอดปลอดภัยในภายภาคหน้า
                ประเทศไทยเรายังนับว่ามีบุญ  และโชคดีที่ภัยพิบัติทางธรรมชาติมีน้อย  ที่มีก็ไม่มีความรุนแรงมากนัก  ดังเช่นประเทศอินโดนีเซีย  ประเทศฟิลิปปินส์ฯ  ซึ่งอยู่ในทวีปเอเชียด้วยกันกับเราล้วนมีภัยพิบัติ  เกี่ยวกับภูเขาไฟ  แผ่นดินไหว  และคลื่นใต้น้ำที่มีความรุนแรงในระดับต้น ๆ เป็นประจำแทบทุกปี  และในแต่ละปีอาจมีหลายครั้ง  ทำให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งมีชีวิต  และทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก  แต่ประชากรในทั้งสามประเทศฯ  ก็ยังคงอยู่ร่วมกับภัยพิบัติดังกล่าวได้อย่างมีความสุข
                ในช่วงระยะเวลาทศวรรษ  คงได้ทราบข่าวจากสื่อต่าง ๆ ถึงการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติที่โน่นบ้าง  ที่นี่บ้างอยู่เป็นประจำ  โดยเฉพาะประเทศไทยเราต้องเผชิญกับภัยพิบัติของ  Tsunami  ครั้งที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์  บริเวณทะเลอันดามันเกิดแผ่นดินไหวขนาด  9.0  ตาม  Richter’ Scale  ทางตะวันตกของเกาะสุมาตราประเทศอินโดนีเซีย  เมื่อประมาณ  08.00น.  ของวันอาทิตย์  ที่  26  ธันวาคม  พ.ศ.  2547  ตามมาด้วย  Tsunami  ขนาดใหญ่  และมีความร้ายแรงมาก  กระทบกระเทือนไม่ถึงกว่า  10  ประเทศโดยรอบทำให้มีคนเสียชีวิตราว  300,000  คน  และความเสียหายหลายพันล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา  สิ่งนี้เป็นการจุดประกายถึงการเตรียมตัวเตรียมใจเพื่อเผชิญภัยพิบัติที่ร้ายแรงต่อไปในภายภาคหน้า
ชนิดของการระเบิดของภูเขาไฟ


                                                                        Shield volcanoes
    punch up lava through weak spots in earth’s crust.




  
                                        Composite volcanoes
                                      erupt along plate edges.




                                                                        Rift volcanoes
                                                                        are most commonly found on the sea floor.





                                    Cinder cone volcanoes



แผ่นดินไหว  (Earthquakes)





คลื่นใต้น้ำ  (Tsunamis)




ที่มา http://cendru.eng.cmu.ac.th/articles/13

วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ภัยจากแมงกะพรุนกล่อง (Box jellyfish)

พิษที่ร้ายแรงที่สุดถึงขั้นตายได้ภายในเวลาไม่กี่นาทีคือ แมงกะพรุนกล่อง (Box jellyfish)  ชาวเลเรียกว่า บอบอกาว หรือ บอบอกล่อง มี 4 classes ด้วยกัน (แมงกะพรุนกล่องอยู่ใน Cnidaria Phylum Cubozoa classes) ฉายานามได้มาจากรูปร่างคล้ายกล่องสี่เหลี่ยมสมชื่อ ลำตัวใสมองเห็นได้ยากเวลาอยู่ในทะเล มีตาอยู่คู่หนึ่งแต่ทว่าสายตาไม่ค่อยดีดั่งผู้สูงวัย  มีมือ(ตามภาษาชาวเล) เป็นเส้นๆ ยาวออกมาจากตัว ฉันเรียกเอาเองง่ายๆ ว่า แบบสายเดี่ยว(Single tentacles)   กับแบบหลายสาย (Multi tentacles)  เป็นที่เก็บเข็มพิษไว้  (Nematocysts) เวลาโดนที่ผิวหนัง ห้ามใช้นิ้วดึงออกหรือใช้วัตถุใดๆ ขูดออกเด็ดขาด เพราะเป็นการเร่งให้เข็มพิษแทงเข้าไปในเนื้อแล้วปล่อยพิษเข้าสู่กระแสเลือด วิธีการหยุดยั้งไม่ให้พิษซึมเข้าในร่างกายได้ ต้องใช้น้ำส้มสายชูซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ (ร้อยละ 3-5) ราดไปที่แผลไม่ใช้น้ำร้อนประคบเพราะจะทำให้เส้นเลือดขยายตัวกระจายพิษง่ายขึ้น ส่วนผักบุ้งทะเลช่วยลดความเจ็บปวดเอาไว้ใส่ทีหลัง แต่ถ้าหัวใจหยุดเต้นก็อย่าเพิ่งไปมัวแต่หาน้ำส้มสายชู ต้องรีบปั๊มหัวใจผายปอดแล้วรีบนำส่งโดยด่วน

 

  
พิษของแมงกะพรุนกล่องที่มีสายเดี่ยวทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง กล้ามเนื้อหน้าท้องและหลังเกร็ง เวียนหัว คลื่นไส้ ปวดหัว กระสับกระส่าย แน่นหน้าอก ส่วนชนิดหลายสาย มีพิษต่อหลายระบบในร่างกายทั้งเลือด เนื้อหนัง หัวใจ ประสาท ส่วนใหญ่ผู้ได้รับพิษมักมีอาการปวดบริเวณแผล หรืออาจปวดไปทั่วร่างกายในบางราย  อาจตายหรือจมน้ำก่อนใครจะช่วยทัน 

ที่มา http://www.oknation.net/blog/peeguay/2009/02/17/entry-1

วันอาทิตย์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2557

Sailing Stones หินเดินได้ ปรากฏการณ์ธรรมชาติสุดแปลก


แค่ได้ยินชื่อก็สงสัยแล้ว หินอะไรจะเดินได้!! Sailing Stones เป็น 1 ในปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ยังคงเป็น ปริศนา ที่เกิดขึ้นที่อุทยานแห่งชาติเดท วัลลี่ย์ (Death Valley National Park) ในรัฐแคลิฟอร์เนีย (California) ประเทศสหรัฐอเมริกา สิ่งที่พบก็คือ จะพบร่องรอยการเคลื่อนที่ของก้อนหิน ที่ทิ้งไว้บนดินเหนียวที่แห้งเป็นทางยาว โดยปรากฏการณ์ธรรมชาติ นี้จะเกิดขึ้นทุก 2 – 3 ปี ครั้ง และหินบางก้อนก็ใช้เวลากว่า 3 – 4 ปีในการเคลื่อนที่ แค่นี้ก็น่าพิลึก พิศวงแล้ว  ^^ Sailing Stones หินเดินได้ ปรากฏการณ์ธรรมชาติสุดแปลก
Sailing Stones หินเดินได้ ปรากฏการณ์ธรรมชาติสุดแปลก

Sailing Stones หินเดินได้ ปรากฏการณ์ธรรมชาติสุดแปลก

เรซแทรค พลาย่า (Racetrack Playa)
เรซ แทรค พลาย่า เป็นแอ่งทะเลสาบที่ค่อนข้างราบและแห้งแล้ง มีความยาวในแนวเหนือ-ใต้ประมาณ 4 กิโลเมตร และกว้างในแนวตะวันออก-ตะวันตกประมาณ 2 กิโลเมตร มีลักษณะพื้นผิวเป็นระแหงโคลน (mud cracks) ส่วนมากประกอบด้วยตะกอนขนาดทรายแป้ง (silt) และดินเหนียว (clay)
สภาพ ภูมิอากาศค่อนข้างแห้งแล้ง มีปริมาณน้ำฝนเพียงสองนิ้วต่อปี แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ฝนตก น้ำปริมาณมากจะไหลจากภูเขาสูงชันที่อยู่ล้อมรอบเรซแทรค พลาย่าลงมาปกคลุมพื้นที่แอ่งจนกลายเป็นทะเลสาบตื้น ครอบคลุมเป็นบริเวณกว้าง ซึ่งขณะนั้นบริเวณพื้นแอ่งจะเต็มไปด้วยดินเหนียวที่เหลวและอ่อนนุ่ม
Sailing Stones หินเดินได้ ปรากฏการณ์ธรรมชาติสุดแปลก
จะเห็นว่า หินทุกก้อน ไม่มีร่องรอย ของการเข้าไปรบกวน หรือทำการเคลื่ยนย้ายโดยคน หรือสัตว์ เพราะไม่มี รอยเท้า และพื้นที่ก็กว้าง เกินกว่าจะใช้ไม้หรือวัตถุเขี่ยถึง
ปรากฏการณ์ หินเดินได้ เกิดจากมนุษญ์ หรือ สัตว์ หรือ ธรรมชาติ? น่าชวนพิศวง
จากลักษณะรูปร่างของร่องรอยการไถลของหินนั้นบ่งบอกได้ว่าหินก้อนนั้นต้อง เคลื่อนที่ในช่วงที่พื้นของเรซแทรค พลาย่านั้นถูกปกคลุมด้วยดินเหนียวอ่อนนุ่ม ถ้าเป็นฝีมือของคนหรือสัตว์จะต้องมีร่องรอยของการเหยียบย่ำรบกวนชั้นดิน เหนียวด้วย แต่ในบริเวณดังกล่าวไม่ปรากฏหลักฐานร่องรอยจากคนหรือสัตว์ที่จะช่วยให้หิน เคลื่อนที่เลย มีเพียงร่องรอยการไถลของหินเท่านั้น
Sailing Stones หินเดินได้ ปรากฏการณ์ธรรมชาติสุดแปลก
Sailing Stones หินเดินได้ ปรากฏการณ์ธรรมชาติสุดแปลก
สมมุติฐานของ การเกิด ปรากฏการณ์ธรรมชาติ หินเดินได้
ทางสมมุติฐาน อ้างว่าเกิดจาก ลม ตัวการที่นิยมนำมาใช้อธิบายปรากฎการณ์นี้ก็คือ ลม โดยส่วนมากลมที่พัดผ่านบริเวณนี้จะมีทิศทางพัดจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ไปยัง ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และร่องรอยการไถลของหินก็มีทิศทางขนาดกับทิศทางของลมนี้ด้วย แต่ ก็มีนักวิทยาศาสตร์บางคน ไ้ด้แย้งว่ากระแสลมใน เรซแทรค พลาย่า สามารถทำให้ เดินน้อยกว่า 5 เซ็นติเมตร และ ถ้าต้องการให้ ดินเดินได้เป็นระยะตามที่ปรากฏ จะต้องมีกระแสลมแรงกว่า 145 กิโลเมตร / ชั่วโมง
Sailing Stones หินเดินได้ ปรากฏการณ์ธรรมชาติสุดแปลก
Sailing Stones หินเดินได้ ปรากฏการณ์ธรรมชาติสุดแปลก
บางสมมุติฐาน อ้างว่าเกิดจาก น้ำแข็ง คนกลุ่มหนึ่งให้ข้อมูลว่าเคยเห็นเรซแทรค พลาย่าถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งชั้นบางๆ แนวคิดหนึ่งอธิบายว่าเมื่อน้ำรอบก้อนหินแข็งตัวและแต่ต่อมามีลมพัดผ่านผิว ด้านบนของน้ำแข็ง ทำให้แผ่นน้ำแข็งได้ลากก้อนหินนั้นไปด้วย จึงเกิดรอยครูดไถลบนพื้นผิวแอ่ง นักวิจัยบางคนพบร่องรอยไถลของหินหลายก้อนที่สอดคล้องกับแนวคิดนี้ด้วย แต่ อย่างไรก็ตามการเคลื่อนย้ายแผ่นน้ำแข็งขนาดใหญ่นั้นคาดว่าจะต้องมีการ ทิ้งร่องรอยบนพื้นผิวแอ่งในทิศทางอื่นๆ ด้วย แต่ก็ยังไม่พบร่องรอยนั้น
ขอบคุณข้อมูล http://wowboom.blogspot.com/

วันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2557

คำขวัญอนุรักษ์

ทรัพยากรธรรมชาติสำคัญคือป่า สัตว์ป่า น้ำ เริ่มจากป่า กรมป่าไม้รวบรวมคำขวัญว่าด้วยการอนุรักษ์ไว้มากมาย เลือกมาดังนี้ อากาศไร้พิษ ชีวิตรื่นรมย์ ป่าไม้อุดม ฝนพรมทั่วไทย / สิ้นป่าวันใด เป็นภัยมหันต์ ปลูกป่าร่วมกัน สุขสันต์ทั่วไทย / ป่าโค่นฝนสิ้น หน้าดินทลาย ต้นน้ำเหือดหาย ภัยแล้งมาเยือน / ป่าหมดดินแห้ง ฝนแล้งข้าวตาย ปลูกป่าอย่าทำลาย รักษาไว้ทรัพยากร / ป่าอยู่คู่กับคน ประชาชนเจ้าของป่า ป่าดีมีคุณค่า ช่วยประชาอยู่ร่มเย็น

 ปลูกป่าเอาไว้ มอบให้ลูกหลาน อยู่สุขสำราญ ตราบกาลนิรันดร์ / ป่าไม้ให้คุณค่า สัตว์ป่าให้คุณคน รักษาอย่าฆ่าโค่น ประโยชน์ล้นทรัพยากร / ป่าไม้ให้ร่มเงา ทั้งบรรเทาอุทกภัย ช่วยกันรักษาไว้ และปลูกใหม่ให้ร่มเย็น / ดินดีเพราะมีป่า ปวงประชาพาสุขสม ไร้ป่าพาไทยตรม ไร่นาล่มขมขื่นใจ / วันนี้ปลูกป่า วันหน้าสุขสบาย วันนี้ทำลายป่า วันหน้าทะเลทราย / ปลูกป่าชุมชน ทุกคนรักษา บ้านเราพัฒนา ประชาได้ประโยชน์รักลูกปลูกป่า รักชีวาปลูกต้นไม้ รักษาป่าไว้ เมืองไทยร่มเย็น / ป่าอยู่ชีพยัง ป่าพังชีพวาย / สายธารจะเหือดแห้ง หากป่าแล้งไร้ร่มเงา / พฤกษานานาพรรณ ช่วยสร้างสรรค์ความสมดุล / หน้าฝนปลูกต้นไม้ หน้าแล้งไปบำรุงป่า / ผลาญป่าไม้จนกลายเป็นป่าหญ้า เหมือนเตรียมป่าช้า ไว้คอยท่าลูกหลาน / ดินขาดป่า ฟ้าขาดฝน คนขาดใจ / ไม้มีค่า ป่ามีคุณ หนุนปลูกเสริม เพิ่มรักษา อย่าทำลาย ฯลฯ

คำขวัญอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์ป่า ก็มี ป่าสิ้นสัตว์สูญ ป่าเพิ่มพูนสัตว์เพิ่มพันธุ์ / ชาวไทยมาร่วมกัน รักษาพันธุ์สัตว์ป่าไทย / ธรรมชาติสร้างสัตว์ป่า สืบทอดมาหลายหมื่นปี เราท่านช่างโชคดี เกิดชาตินี้เป็นเจ้าของ / สัตว์ป่าน่ารัก ควรจักรักษา ถ้าไปเข่นฆ่า สัตว์ป่าสูญพันธุ์ / รักษาป่าไม้ ช่วยให้สัตว์อยู่ สัตว์พืชควบคู่ ร่วมอยู่ด้วยกัน / พวกเราคนไทย ร่วมใจรักษา อนุรักษ์สัตว์ป่า มิให้สูญพันธุ์


คนรักชีวิต สัตว์ก็คิดรักชีวา งดเถิดการเข่นฆ่า ผองสัตว์ป่าก็เหมือนคน / สรรพสัตว์เป็นสมบัติของป่า ศีลธรรมจรรยาเป็นสมบัติของคน / ประดับคนด้วยเสื้อผ้า ประดับป่าด้วยสัตว์ไพร / ต้นไม้และสัตว์ป่า ทรัพย์มีค่าของคนไทย / สัตว์ป่าล้วนน่ารัก ควรพิทักษ์รักษาไว้ / ลูกสัตว์จะหิวนม เพราะแม่ล้มด้วยถูกปืน / สัตว์ป่าจะคงอยู่ เมื่อทุกผู้ไม่ล่ามัน / ป่าสวยเพราะรวยสัตว์ ป่าพิบัติสัตว์ต้องหนี / รักต้นไม้อย่าตัด รักสัตว์อย่าฆ่า รักป่าอย่าทำลาย


สำหรับน้ำ มีคำขวัญจากโครงการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ รักษ์น้ำ พิทักษ์ป่า เพื่อชาวประชาของราชินี / ปรับปรุงน้ำเสียให้เป็นน้ำดี เพื่อชีวีชาวไทย / จุลินทรีย์ ผู้พิชิต คืนชีวิตให้แหล่งน้ำ / น้ำใสเพื่อทุกคน ลิขิตสังคมด้วยมือเรา / ร้อยดวงใจ เติมน้ำใส ห่วงใยสิ่งแวดล้อม / คลองสวยน้ำใส น้ำเสียเป็นน้ำดี ร่วมใจถวายพระราชินี / ร่วมแรงร่วมใจ พัฒนาน้ำใสคืนสู่ชุมชน

 
ที่มา
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURONWIzVXdOakV6TURNMU1BPT0=&sectionid=Y25Wd1lXbHRiMlJs&day=TWpBd055MHdNeTB4TXc9PQ==

Browning bestiaire 2011

ธรรมชาติ ประกอบไปด้วย 2 คำ นั่นคือ ธรรมะ กับ ชาตะ ธรรมะ คือความจริง คือสิ่งที่ปรากฏจับต้องได้ รับรู้ได้ อย่างที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงตรัสรู้ และนำมาสั่งสอนพวกเราก็คือการรู้ซึ่งความจริง ก็คือ ธรรมะ ส่วนชาตะคือ การเกิด ซึ่งเป็นวัฏจักร เมื่อมีเกิดก็ต้องมีดับ มีตาย ใบไม้ก็ต้องร่วงนั่นคือวัฏจักร ดังนั้นธรรมชาติก็คือ วิถีหรือวัฏจักรของความจริงที่เกิดขึ้น

วันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ท่องโลกกว้าง ตอน เหตุการณ์ธรรมชาติสุดพิลึก3




ผีเสื้อจักรพรรดิ
เม็กซิโก ดินแดนเก่าแก่ที่มากไปด้วยอารยธรรม และยังมากไปด้วยเขตชีวภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจไม่แพ้ที่อื่นๆ ออกไปทางตะวันตกเฉียงเหนือของเม็กซิโกซิตี ประมาณ 100 กิโลเมตร คุณจะพบกับ เขตอนุรักษ์ชีวภาพผีเสื้อจักรพรรดิ (Monarch Butterfly Biosphere Reserve) ด้วยพื้นที่ 56,259 เฮคแตร์ ซึ่งอยู่ภายในเขตป่าของภูเขาที่ขรุขระและต้นไม้หนาทึบ ในทุกฤดูใบไม้ร่วง ภายในเขตอนุรักษ์ชีวภาพแห่งนี้จะมีกลุ่ม ผีเสื้อจำนวนล้าน หรือสิบล้าน จากพื้นที่กว้างใหญ่ของอเมริกาเหนือ ที่ต่างพร้อมใจกันเดินทางกลับมาที่ เขตอนุรักษ์ชีวภาพผีเสื้อจักรพรรดิแห่งนี้ และจับกลุ่มกันอยู่ในพื้นที่เล็ก ๆ ของป่าสงวน ซึ่งสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมชมความงดงามของผีเสื้อเป็นจำนวนมาก ด้วยผีเสื้อที่อพยพมาเป็นจำนวนมากจนทำให้ต้นไม้ในป่ากลายเป็นสีส้ม และกิ่งไม้ถึงกับโน้มลงมาด้วยน้ำหนักผีเสื้อจำนวนมากที่เกาะอยู่ ในฤดูใบไม้ผลิ ผีเสื้อเหล่านี้เริ่มการอพยพที่กินเวลา 8 เดือนไปสู่แคนาดาตะวันออกและกลับมา ซึ่งระหว่างนั้นผีเสื้อ 4 ชั่วอายุเกิดขึ้นและตายไป ผีเสื้อเหล่านี้พบทางกลับมาสู่ที่พักฤดูหนาวของพวกมันได้อย่างไร ยังเป็นความลับที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ สำหรับคนที่สนใจอยากจะชมผีเสื้อสวยๆจำนวนมหาศาลหล่ะก็ ขอแนะนำ เขตอนุรักษ์ชีวภาพผีเสื้อจักรพรรดิ แห่งนี้ได้เลยค่ะ
ที่มา:http://travel.thaiza.com

ความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

ความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

               ทรัพยากรธรรมชาติ เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนนำมาใช้ ให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง ตั้งแต่เริ่มมีมนุษย์ อุบัติขึ้นในโลก   ทรัพยากรธรรมชาตินำมาซึ่งปัจจัยสี่ อันเป็นปัจจัยพื้นฐาน ในการดำเนินชีวิต   ได้แก่ อาหาร ที่อยู่อาศัย  เครื่องนุ่งห่ม  และยารักษาโรค แต่ปัจจุบันมนุษย์ ไม่ได้มีความต้องการเฉพาะ ปัจจัยสี่หลักที่กล่าวมาแล้วเท่านั้น  มนุษย์ยังต้องการ  สิ่งอำนวยความ สะดวกอีกมากมาย   อันเป็นสาเหตุให้มนุษย์ นำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ อย่างมากมายและ ฟุ่มเฟือย  ทรัพยากรธรรมชาติจึงร่อยหรอไปอย่างรวดเร็ว   การที่มนุษย์ผู้ใช้ประโยชน์ มักไม่ค่อย สนใจ วิธีการสงวนรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ปล่อยให้ทรัพยากรธรรมชาติต้องสูญเสียไป โดยเปล่าประโยชน์  และผลกระทบเหล่านั้น ก็ส่งผลกระทบถึงตัวมนุษย์เอง   อาทิมาตรฐานการ ครองชีพต่ำ ภาวะการขาดแคลนอาหารภัยพิบัติ ที่เกิดจากธรรมชาติ ขาดความสมดุล เช่น อุทกภัยวาตภัย ดินเสื่อมคุณภาพ ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรป่าไม้หมดไป สิ่งต่าง ๆ   เหล่านี้ ล้วนแต่เกิดขึ้นจาก การใช้ทรัพยากรธรรมชาติโดยไม่นำพากับการอนุรักษ์ และการจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติ อย่างถูกวิธีทั้งสิ้น   สักวันหนึ่งทรัพยากรธรรมชาติ เหล่านี้ต้องหมดไป หรือ เสื่อมคุณภาพ ความจำเป็นในการที่มนุษย์จะต้องช่วยกัน อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติเพื่อ ให้สามารถ อำนวยประโยชน์ให้แก่มนุษย์ ให้มากที่สุด ยาวนานที่สุดเท่าที่จะทำได้


                                 ที่มาภาพwww.skywaterthai.com



ความหมายของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 

        ทรัพยากรธรรมชาติ (Natural Resources)  หมายถึง  สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
สามารถสนองความต้องการของมนุษย์ได้  หรือมนุษย์สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการดำรงชีพได้ 
(นิวัติ, 2537)  เช่น  น้ำ  ป่าไม้  ดิน  สัตว์ป่า  แร่ธาตุ เป็นต้น 

             

                                ที่มาภาพwww.skywaterthai.com

        ที่ผ่านมากิจกรรมการพัฒนาต่างๆ ทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมของมนุษย์เป็นการนำเอา
ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่มาใช้ประโยชน์ ซึ่งการใช้ประโยชน์ ทรัพยากรต่าง ๆจะก่อให้เกิด
ผลกระทบต่อความสมดุลของระบบนิเวศ กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้ทรัพยากรหนึ่งย่อมมี
ผลกระทบต่อทรัพยากรอื่น ๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น การทำไม้จะทำให้เกิดผลกระทบต่อการ
พังทลายของดินคุณภาพน้ำแหล่งที่อยู่อาศัยและแหล่งอาหารของสัตว์ป่า ต่างๆ ปริมาณ
ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศของโลก เป็นต้น 

         สำหรับประเทศไทย สำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (2547)
กล่าวว่า   การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ  ที่เพิ่มขึ้นส่งผลต่อ
ความต้องการใช้ทรัพยากร  ธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรป่าไม้
ทรัพยากรดิน ทรัพยากรน้ำ ทรัพยากรแร่ธาตุและพลังงาน ทรัพยากรชายฝั่งและ
ทรัพยากรประมง ทำให้ปริมาณและคุณภาพของทรัพยากรต่าง ๆ ลดลง จำเป็นจะต้อง
มีการติดตามและตรวจสอบสถานภาพของทรัพยากรธรรมชาติของประเทศอย่างสม่ำเสมอ
เพื่อให้สามารถวางแผนและดำเนินการแก้ไขได้อย่างถูกต้องเหมาะสม โดยการจัดการ
ทรัพยากรต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นให้รอบด้าน เพื่อให้เกิดการใช้
ประโยชน์อย่างยั่งยืนต่อไป 

        สิ่งแวดล้อม  (Environment)  หมายถึง  ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวมนุษย์  มีความ
เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตของมนุษย์  มีทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม  ทั้งที่มีชีวิตและ
ไม่มีชีวิต  อย่างไรก็ตามสิ่งแวดล้อมอาจแบ่งตามลักษณะได้ 2 ส่วน คือ
        1)  สิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หรือ ทรัพยากรธรรมชาติ
        2)  สิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น  เช่น  สิ่งก่อสร้าง  ชุมชนเมือง  โบราณสถาน 
              ขนบธรรมเนียมประเพณี  วัฒนธรรม  เป็นต้น

ประเภทของทรัพยากรธรรมชาต

        ทรัพยากรธรรมชาติที่อยู่รอบตัวมนุษย์  สามารถจำแนกได้เป็น 3 ประเภท คือ

1)  ทรัพยากรที่ใช้แล้วไม่รู้จักหมดสิ้น  (Inexhaustible Natural Resources)  ทรัพยากร
ธรรมชาติประเภทนี้มีความจำเป็นต่อร่างกายและสิ่งมีชีวิตอย่างยิ่ง  มีปริมาณมากเกินความต้องการ
ของมนุษย์  มีการหมุนเวียนเป็นวัฎจักร  คุณภาพของทรัพยากรธรรมชาติประเภทนี้อาจลดน้อยลง
เมื่อถูกใช้มากเกินไปหรือผิดวิธี  ทรัพยากรประเภทนี้ ได้แก่  บรรยากาศ  น้ำ 

  
                                                       ที่มาภาพwww.gotoknow.org

2)  ทรัพยากรที่ใช้แล้วเกิดขึ้นทดแทนหรือรักษาให้คงอยู่ได้  (Replaceable and 
Maintainable Natural Resources)  เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่เกิดขึ้นใหม่ได้ตลอดเวลา  
หากมีการรักษาหรือจัดการให้อยู่ในระดับที่สมดุลกันตามธรรมชาติ  หรือใช้ให้ถูกวิธี  
ทรัพยากรธรรมชาติ  ประเภทนี้ ได้แก่  ป่าไม้  ดิน  สัตว์ป่า  สัตว์น้ำ  เป็นต้น 

 

                       ที่มาภาพ www.tlcthai.com

3)  ทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไป  (Exhaustible Natural Resources)  เป็นทรัพยากรที่ใช้แล้ว
หมาดไปเกิดขึ้นทดแทนได้ยากหรือต้องใช้เวลานานมาก ได้แก่ ทรัพยากรแร่


      
                                                          ที่มาภาพ wanleeyen.wordpress.com

ความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่มีต่อมนุษย์ 

        ทรัพยากรธรรมชาติมีความสำคัญต่อการดำรงชีพของมนุษย์มาก  มนุษย์ใช้ประโยชน์
ทรัพยากรธรรมชาติในด้านต่าง ๆ กัน ดังนี้
1)  การดำรงชีพโดยตรง  มนุษย์ใช้ทรัพยากรธรรมชาติเป็นปัจจัยพื้นฐาน  ได้แก่  อาหาร
เครื่องนุ่งห่ม  ยารักษาโรค  ที่อยู่อาศัย
2)  เป็นวัตถุดิบในการผลิตเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ  มนุษย์ใช้ทรัพยากรธรรมชาติเป็นพื้นฐาน
ทางเศรษฐกิจ  เช่น  แร่ธาตุ  น้ำมัน  เป็นต้น
3)  ทำหน้าที่รองรับของเสียจากกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์  เช่น  แม่น้ำเป็นที่ระบายน้ำเสีย
จากบ้านเรือน  ดินรองรับการทิ้งขยะ  เป็นต้น
4)  เป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาสมดุลธรรมชาติ  เนื่องจากมนุษย์เองก็เป็นสิ่งมีชีวิตในระบบ
สิ่งแวดล้อมที่มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับธรรมชาติ  ถ้าสิ่งเหล่านี้ถูกทำลายย่อมมีผลถึง
มนุษย์ด้วย
5)  ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  เป็นพื้นฐานวัฒนธรรมในสังคมมนุษย์